หน้าแรก -> อนัตตลักขณสูตร

อนัตตลักขณสูตร


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

พระอานนทเถรพุทธอุปัฎฐาก ได้กล่าวแสดงต่อคณะสงฆ์ ในการทําสังคายนาครั้งที่ ๑ ว่าดังนี้.-

ข้าพเจ้าได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ในสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยับยั้งอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีฯ

ในกาลครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเตือนสติเหล่าภิกษุปัญจวัคคีย์ให้ตั้งใจฟังและพิจารณาตามพระดํารัสของพระองค์อย่างนี้ว่าฯ

ภิกษุทั้งหลาย รูป คือร่างกายนี้ เป็นอนัตตา ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ มิใช่เป็นตัวตนของเราหริือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้ารูปคือร่างกายนี้เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร์

รูปคือร่างกายนี้ ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทําให้ลําบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากร่างกายดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอร่างกายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าเป็นอย่างนั้นเลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนาฯ

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูปคือร่างกายนี้ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงเป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทําให้ลําบากใจ

และเมื่อรูปคือร่างกายมันไม่ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราก็ย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากร่างกายดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอร่างกายจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าเป็นอย่างนั้นเลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนาฯ

เวทนา คือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร้

เวทนานี้ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทําให้ลําบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากเวทนาดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความรู้สึกที่เป็นสุขตลอดไปเถิด อย่ามีความรู้สึกที่เป็นทุกข์เลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนาฯ

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงเป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทําให้ลําบากใจ

และเมื่อเวทนามันไม่ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราก็ย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากเวทนาดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่าขอให้เราจงมีแต่ความรู้สึกที่เป็นสุขตลอดไปเถิด อย่ามีความรู้สึกที่เป็นทุกข์เลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนาฯ

สัญญา คือความจํา เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าสัญญาคือความจํานี้ เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร้

สัญญานี้ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อทําให้ลําบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากสัญญาดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความจําที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความจําที่ไม่ดีเลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนาฯ

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาคือความจํานี้ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงต้องเสื่อมไปทําให้ลำบากใจเพราะความจําไม่ได้

และเมื่อสัญญามันไม่ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราก็ย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากสัญญาดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่าขอให้เราจงมีแต่ความจําที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความจำที่ไม่ดีเลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนาฯ

สังขาร คือความคิดดีและชั่ว เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้ เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร้

สังขารนี้ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทําให้ลําบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากสังขารดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความคิดที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความคิดชั่วเลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนาฯ

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้ เป็นอนัตตามิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงชอบคิดถึงแต่เรื่องราวที่ทําให้ลําบากใจ

และเมื่อสังขารมันไม่ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราก็ย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากสังขารดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่าขอให้เราจงมีแต่ความคิดที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความคิดชั่วเลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนาฯ

วิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดี เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้ฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าวิญญาณนี้เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร้

วิญญาณนี้ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทําให้ลําบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากวิญญาณดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ดีเลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนาฯ

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณนี้ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงเป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทําให้ลําบากใจ

และเมื่อวิญญาณมันไม่ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราก็ย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากวิญญาณดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่าขอให้เราจงมีแต่ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ดีเลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนาฯ

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในรูปคือร่างกายนี้ เป็นอย่างไร?

ภิกษุทั้งหลาย เราขอถามว่า รูปคือร่างกายนี้มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้าฯ

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้าฯ

และเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า ร่างกายนี้เป็นเรา เราคือร่างกายอย่างนั้นอย่างนี้ และร่างกายนี้เป็นตัวตนของเรา?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้าฯ

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ เป็นอย่างไร? ภิกษุทั้งหลายเราขอถามว่า เวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้าฯ

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

เป็นทุกขฺ์ พระพุทธเจ้าข้าฯ

และในเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า เวทนานี้เป็นเรา เราคือเวทนาอย่างนั้นอย่างนี้ และเวทนานี้เป็นตัวตนของเรา?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้าฯ

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในสัญญาคือความจํานี้ เป็นอย่างไร?

ภิกษุทั้งหลาย เราขอถามว่า สัญญาคือความจํานี้ มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้าฯ

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้าฯ

และในเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า ความจํานี้เป็นเรา เราคือความจําอย่างนั้นอย่างนี้ และความจํานี้เป็นตัวตนของเรา?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้าฯ

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้เป็นอย่างไร? ภิกษุทั้งหลาย เราขอถามว่าสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้าฯ

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้าฯ

และในเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า ความคิดดีและชั่วนี้เป็นเรา เราคือความคิดดีและชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ และความคิดดีและชั่วนี้เป็นตัวตนของเรา?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้าฯ

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในวิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีนี้ เป็นอย่างไร? ภิกษุทั้งหลายเราขอถามว่า วิญญาณคือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีนี้ มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้าฯ

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้าฯ

และในเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหริือที่จะคิดว่า ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรา เราคือความรู้สึกสัมผัสอย่างนั้นอย่างนี้ และความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นตัวตนของเรา?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้าฯ

เพราะเหตุนั้นแลภิกษุทั้งหลาย รูป คือร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีแล้วในอดีตหรือที่จะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน รูปภายในคือร่างกายที่เราอาศัยอยู่ รูปภายนอก คือร่างกายที่ผู้อื่นอาศัยอยู่

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

รูปคือร่างกายทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ร่างกายอย่างนั้นอย่างนี้ และร่างกายนี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเราฯ

ท่านทั้งหลายพึงเห็นรูปคือร่างกายนี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้นเถิดฯ

เวทนา คือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือที่จะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน เวทนาภายใน คือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดในใจเรา เวทนาภายนอกคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดในใจผู้อื่น

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

เวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ เวทนานี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่เวทนา อย่างนั้นอย่างนี้ และเวทนานี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเราฯ

ท่านทั้งหลายพึงเห็นเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้นเถิดฯ

สัญญา คือความจําอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือที่จะพึงมีในอนาคตหรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน สัญญาภายใน คือความจําของเรา สัญญาภายนอกคือความจําของผู้อื่น

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

สัญญาคือความจําทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ ความจํานี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ความจําอย่างนั้นอย่างนี้ และความจํานี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเราฯ

ท่านทั้งหลายพึงเห็นสัญญาคือความจํานี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้นเถิดฯ

สังขาร คือความคิดดีและชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือจะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน สังขารภายใน คือความคิดดีและชั่วในใจเรา สังขารภายนอก คือความคิดดีและชั่วในใจผู้อื่น

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

สังขารคือความคิดดีและชั่วทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ ความคิดดีและชั่วนี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ความคิดดีและชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ และความคิดดีและชั่วนี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเราฯ

ท่านทั้งหลายพึงเห็นสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้นเถิดฯ

วิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กล่ิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีแล้วในอดีต หรือจะพึงมีในอนาคต หรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน วิญญาณภายใน คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีของเรา วิญญาณภายนอก คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีของผู้อื่น

ทั้งหยาบและละเอียด

ทั้งเลวและประณีต

ทั้งอยู่ไกลและอยู่ใกล้

วิญญาณคือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสภาพไม่เที่ยง มีแต่นําทุกข์มาให้ ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆ อย่างนั้นอย่างนี้ และความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆ นี้ก็มิใช่เป็นตัวตนของเราฯ

ท่านทั้งหลายพึงเห็นวิญญาณคือความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆ นี้ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้นเถิดฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ยินได้ฟังและพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในรูปคือร่างกายด้วย

ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย

ย่อมเบื่อหน่ายในสัญญาคือความจําด้วย

ย่อมเบื่อหน่ายในสังขารคือความคิดดีและชั่วด้วย

ย่อมเบื่อหน่ายในวิญญาณคือความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ด้วย

เมื่ออริยสาวกเหล่านั้น มีความเบื่อหน่ายอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่คิดอยากจะเกาะติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลายฯ

เมื่อจิตหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลายแล้ว ก็มีความรู้ทราบแน่ชัดว่าหมดสิ้นความเกิดแล้ว ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปแล้ว เป็นการอยู่ในพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์หมดจดดีแล้ว กิจที่จะต้องทํา คือการตัดกิเลสก็ได้ทําเสร็จสิ้นแล้ว กิจอย่างอื่นที่จะต้องทําเพื่อความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสอย่างนี้ ก็ไม่มีอีกแล้วฯ

ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมอันชี้ชัดให้เห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของมิใช่ตัวตนของเราหรือของใครๆ อย่างนี้แล้วฯ

พระภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้นก็มีความเพลิดเพลินยินดี ในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วนั้นฯ

ก็ในขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าวแสดงความละเอียดพิสดารของธรรมอันชี้ชัดให้เห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของมิใช่ตัวตนของเราหรือของใครๆ อยู่นั่นแล

จิตของพระภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ก็หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องรัดรึงใจทั้งหลาย ไม่คิดอยากเกาะติดอยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อีกต่อไปแลฯ

บอร์ดธรรมะ

สารบัญ